บทนำ
ข้าวโพด กลายเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ที่ได้รับการศึกษาอย่างหลากหลายที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ และในทุกวันนี้ก็ยังถูกใช้ในชีวิตประจำวันแทบทุกด้าน ข้าวโพดสายพันธุ์ต่างๆ จะถูกปลูกและเก็บเกี่ยวผล นำผลมาแปรรูปต่อไปเป็นสารปรุงแต่ง (additives) และส่วนปนะกอบ (ingredients) ในอาหารของเราให้มีรสชาติ กลิ่น สีดึงดูดใจผู้บริโภค เชื้อเพลิง และอาหารสัตว์ต่างๆ แนวทางปฏิบัติโดยทั่วไปในการสกัด ที่มีกระบวนการสกัดหลากหลายวิธี เป้าหมายสุดท้ายในการแยกเมล็ดข้าวโพด ออกเป็นส่วนประกอบสำคัญ 3 ส่วน คือ เปลือกและรำ (bran) เอนโดสเปิร์ม (Endosperm, เนื้อเยื่อที่มีหน้าที่เก็บสะสมอาหารส่วนใหญ่เป็นพวกแป้ง) และส่วนจมูก (gem, เป็นส่วนที่เจริญเติบโตเป็นต้นอ่อน) มีน้ำมันมากที่สุดถึง 83% ของน้ำมันที่มีอยู่ในเมล็ดข้าวโพดทั้งหมด) จึงเห็นได้ว่าในแต่ละส่วนประกอบล้วนอุดมไปด้วยน้ำตาล แป้ง ไฟเบอร์ หรือน้ำมัน ซึ่งคุณประโยชน์ทางโภชนาการจะเป็นตัวกำหนดว่า จะนำไปผลิตเป็นน้ำเชื่อมข้าวโพดในผลิตภัณฑ์ต่างๆ หรือเป็นเอทานอลสำหรับเชื้อเพลิง หรือผลิตเป็นอาหารเสริม หรือผลิตเป็นอาหารเสริมในอาหารสัตว์ ที่บางครั้งเรียกว่า Distillu geain หรือ DGP (ผลิตภัณฑ์ที่เหลือการการผลิตเอทานอล ด้วยข้าวโพด)
วิธีการผลิตแป้งจช้าวโพด (Milling ) มี 2 แบบคือ การผลิตแบบเปียก (wet milling) และแบบแห้ง (Dry milling) หัวใจของความแตกต่างของ 2 วิธี ขึ้นอยู่กับว่า ส่วนประกอบใดในข้าวโพดที่เราสนใจมากที่สุด การผลิตแบบเปียกเป็นกระบวนการที่ใช้แรงงานและต้นทุนสูงมากกว่า ซึ่งทำให้มีประสิทธิภาพในการแยก ส่วนจมูก (germ) ออกจาก เอนโดสเปิร์มได้มากกว่า อย่างไรก็ตาม การผลิตแบบแห้งก็สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพและราคาถูก สำหรับการผลิตเอทานอล รวมถึงการผลิต DGS สำหรับส่วนผสมอาหารสัตว์ได้อีกด้วย โดยไม่คำนึงขึ้นตอนการผลิต มีความจำเป็นต้องควบคุมทุกขั้นตอนอย่างเข้มงวดซึ่งเป็นสิ่งสำคัญเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการให้สูงสุด เพื่อสร้างความไม่มั่นใจในผลดำเนินการที่ดีที่สุด ภายใต้การควบคุมการบวนการทดสอบเหล่านี้ การทดสอบเชิงวิเคราะห์ที่สำคัญที่สุด คือ การวัดความชื้น และประมาณน้ำมัน เนื่องจากน้ำมันไม่ได้เป็นเพียงหนึ่งของส่วนประกอบที่แพงที่สุดแล้ว แต่ยังมีปริมาณต่ำที่สุด เมื่อคิดตามมวลข้าวโพด การสกัดน้ำมันที่ไม่มีประสิทธิภาพ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากในขั้นตอนการคำนวณ |